การเตรียมใบสมัครทุน
ประกาศการรับสมัครจะแจ้งที่เว็บของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น
ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม และรับสมัครประมาณต้นเดือนมิถุนายน
โดยทางสถานทูตจะมีเอกสารหลักๆอยู่ 3 อย่างดังนี้
-
คุณสมบัติผู้ที่จะสมัครทุน เช่น
เกรด*** อายุ สัญชาติ
-
Fields
of study – เค้าจะแยกให้ดูว่าอยากเรียนสาขานี้จะอยู่หมวดไหน
ไว้ใช้ดูว่าต้องสอบวิชาอะไร แล้วถ้าจะเลือกสาขาอันดับต่อๆมาจะเลือกอันไหนได้บ้าง
-
ข้อมูลทุนทั่วไป เช่น
จะได้รับทุนตั้งแต่เมื่อไหร่ รัฐให้ทุนส่วนไหนบ้าง
-
ช่วงเวลารับสมัคร
-
เอกสารที่ต้องเตรียมไปสมัคร
-
เวลา สถานที่ และวิชาที่ใช้สอบตามหมวดที่เราเลือกใน
Fields
of study
-
วันประกาศผลข้อเขียน
วันสอบสัมภาษณ์และวันประกาศผล กำหนดการคร่าวๆของ final selection
-
การติดต่อสอบถาม
-
ฯลฯ
กำหนดการค่อนข้างคล้ายกันทุกปี(มีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย)อยากให้เอามาลองอ่านคร่าวๆก่อน
เผื่อมีบางอย่างที่ต้องเตรียมตัวก่อน เช่น การขอลดหย่อนเกรด
***
เกรดทั่วไปสำหรับคนที่ไม่มีพื้นภาษาญี่ปุ่น หรือไม่เคยสอบวัดระดับจะอยู่ที่ 3.80
แต่!!!!
เอกสารข้างต้นจะระบุรายละเอียดเรื่องการลดหย่อนเกรดสำหรับคนที่เคยสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น
หรือมีผลการสอบ EJU (แต่ต่อให้ลดหย่อนสูงสุดแล้วเกรดก็ยังต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 3.30)
2.
Application เป็นใบสมัคร
หลักๆจะมีให้เขียนข้อมูลส่วนตัว แล้วก็สาขาที่จะไปเรียนพร้อมเหตุผล จะกล่าวอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป
***ส่วนนี้แต่ละปีจะค่อนข้างคล้ายกัน
เอามาดูแนวๆการเขียน เช่น เหตุผลที่จะไปเรียนสาขานั้นๆ ก่อนก็ได้
แต่อย่าเพิ่งกรอกไปเลย แต่ละปีจะมีการปรับแก้เล็กน้อยรอฉบับของปีนั้นๆมากรอกดีกว่า
3.
Admission
Form เป็นใบเข้าห้องสอบ
ครึ่งนึงเจ้าหน้าที่จะเก็บไว้ (อันนี้ไม่เขียนให้ดูนะคะมันนิดเดียวเข้าใจง่ายว่าควรเขียนอะไร)
****ส่วนนี้อ้างอิงจากของปี
2017 แต่ละปีอาจมีการปรับแก้ ดูไว้แต่เพียงเป็นแนวทาง
ชื่อที่ใช้ในใบสมัครด้านล่างนี้ไม่ใช่ชื่อของผู้เขียนนะคะ
เอามาจากอนิเมะเรื่อง yuri on ice 55555
เกริ่น
-
กรอกใบสมัครจะเขียน(ปากกาน้ำเงิน/ดำ)หรือพิมพ์ก็ได้ค่ะ แต่ส่วนตัวใช้เขียนปากกาเอา
เผื่อต้องแก้จริงๆจะได้แค่ลบเล็กๆแล้วแก้ ไม่งั้นมันจะแบบ เอ้ย
อันอื่นพิมพ์อันนี้เขียน5555
-
ใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่นะคะ (แต่ส่วนตัวช่วงที่เขียนบรรยายเยอะๆ
แบบทำไมเรียนอันนี้ก็เขียนแบบปกติไป เจ้าหน้าที่ที่สถานทูตก็ไม่ว่าอะไรนะคะ
หรือจะเขียนตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดก็ไม่น่ามีปัญหานะคะ)
*(1)
1.
ต้องเลือก major
ให้อยู่ในหมวดเดียวกัน (วิชาสอบเหมือนกัน)
- เช่น
เลือกอันแรกเป็น Chemistry (U2 Natural Sciences A – สอบ eng phy chem
math 2) แล้วอันสองเป็น Sociology (U1 Social Science sand Humanities A – สอบ eng
math 1) อันนี้ไม่ได้
- เลือกอันแรกเป็น
Chemistry (U2 Natural Sciences A –
สอบ eng phy chem math 2) แล้วอันสองเป็น Medicine (U2 Natural Sciences C – สอบ eng bio chem
math 2) อันนี้ก็ไม่ได้
- แต่!!! ถ้าเลือกสองอันแรกเป็น Natural Sciences C (มีแค่ medicine
กับ dentistry) แล้ว อันที่สามจะใช้ของ Natural
Sciences B ก็ได้
2. ทุนไม่ได้บังคับว่าต้องเลือกทั้ง
3 อันดับ เลือกแค่ 2 หรือ 1 อันดับก็ได้ ถ้าอันอื่นเราไม่สนใจ
เช่นอยากเรียนหมอที่นู่น ถ้าได้หมอฟันก็ไม่เอาก็ไม่ต้องเขียนหมอฟันไป
เขียนแค่หมออันเดียวก็ได้ค่ะ
3. ไม่จำเป็นต้องเลือกอันที่เนื้อหาคล้ายกันแบบในตัวอย่าง
(ทุกอันมีส่วน chemistry
แบบเห็นได้ชัด)
แต่เวลาเขียนเหตุผลก็ต้องเขียนให้มันเชื่อมกันนิดนึง(มีให้เขียนเหตุผลที่เลือกในหน้าต่อๆไป)
ซึ่งถ้า 3 อันมันคล้ายๆกันมันก็จะเขียนเหตุผลง่ายขึ้นไม่ย้อนแย้ง
- เช่น
ส่วนตัวเลือก วิศวะคอม วิศวะไฟฟ้า วิศวะเคมี ไป มันดูไม่ค่อยเข้ากันเลยเนอะ5555
แต่ตอนเขียนเหตุผลเราก็เขียนไปว่าเออที่เลือกอ่ะ
เพราะเราสนใจเรียนต่อด้านวิศวะชีวการแพทย์ตอน ป.โท ซึ่ง 3
สาขานี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ทำนองนี้
*(2)
อันนี้ไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้
อาจจะดูดีหน่อยตอนสอบสัมภาษณ์ ถ้ารู้ญี่ปุ่นแค่นิดหน่อยก็อย่างเพิ่งสอบเลยค่ะ
ถ้าผ่านสัมภาษณ์แล้วทางสถานทูตจะจัดให้สอบอีกทีสำหรับคนที่ยังไม่สอบ
ไม่งั้นเราอาจจะต้องอ่านทั้งวิชาหลักแล้วก็ภาษาด้วย บางคนอาจจะจัดการเวลาไม่ทัน
แต่ถ้าแม่นแล้วเคยสอบวัดระดับภาษามาแล้วก็สอบดูก็ดีค่ะ
*(3) อันนี้ขอโทษจริงๆค่ะ
จำไม่ได้ว่าเขียนว่ายังไงแต่คร่าวๆประมาณว่า expected certificate of upper
secondary education แต่ไม่แน่ใจเลยไม่เขียนไปในรูป
แต่วันส่งใบสมัครจะมีวิธีการเขียนแปะอยู่รอบๆห้องสมัคร
ลองไปเช็คดูเพื่อความแน่ใจอีกทีนะคะ
*(4)
1.
ให้เขียนเหตุผลว่าทำไมอยากเรียนต่อด้านนี้ ก็เขียนตามเหตุผลของเราเลย
อาจเอาปัญหาในประเทศมาเขียนว่าเราอยากกลับมาพัฒนาส่วนนี้แล้วที่ญี่ปุ่นด้านนี้ก็เจริญก้าวหน้ามากเลยอยากไปศึกษา
ทำนองนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบนี้ก็ได้ค่ะอันนี้เขียนเป็นแนวเฉยๆ แต่อย่าเขียนไปแบบสั้นๆห้วนๆนะคะ
อธิบายหน่อย พอให้ได้ใจความแล้วก็ไม่ต้องยาวมากถึงขนาดต่อแผ่นใหม่ พอดีๆก็พอ
2.
ส่วนตรงนี้ผู้เขียนตอนเขียนส่งไปใช้แบบอักษรปกติ(ไม่ได้เขียนตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด)อ่ะค่ะ
เพราะรู้สึกอ่านง่ายกว่าแล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เขียนตัวพิมพ์ใหญ่ไปทั้งหมดก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ
*(5)
ก็พยายามหาจุดเชื่อมโยงของสามหัวข้อที่เลือกไว้ตอนแรก
แล้วก็เขียนออกแนวภาพรวมว่าเราอยากเรียนอะไร เช่น การเกษตร หรือปัญญาประดิษฐ์
*(6)
อันนี้ตามแต่ศรัทธาเลยค่ะ55555
แต่เขียนแนวชื่นชมด้านระเบียบวินัย เทคโนโลยี หรือว่าหาข้อมูลว่าสาขาที่เราไปเรียนญี่ปุ่นเค้าท็อปด้านไหน
(เช่น ส่งออกและพัฒนา....มากสุด/ท็อป 5 ในอาเซียน/โลก ก็ว่าไป) ก็จะเป็นทางการกว่าเขียนว่าชอบการ์ตูน
หรือเกมนะคะ
*(7)
ก็เขียนว่ากลับมาไทยแล้วจะทำอะไร
อาจจะเขียนแนวๆว่าอยากกลับมาพัฒนาด้านนี้ๆๆในไทย หรืออยากกลับมาเป็นอาจารย์สอน
อยากทำวิจัย ก็ว่าไป
พยายามเขียนทำนองว่าจะกลับมาพัฒนาประเทศไทยจากความรู้ที่เราเรียนรู้มา
***
อาจจะไม่จำเป็นต้องแนวนี้ก็ได้นะคะอันนี้เขียนให้จุดประกายเฉยๆเผื่อบางคนไม่รู้จะเริ่มยังไง
*(8)
อันนี้เป็นใบขออนุญาตจากผู้ปกครอง
เขียนเองได้เลยค่ะ ทางสถานทูตไม่มีแบบฟอร์มให้ (แต่ปีหลังๆอาจจะแนบมาด้วยก็ได้
ลองเช็คดูนะคะ) ไม่ต้องเขียนยาวมากค่ะเนื้อหาแค่ทำนองว่า
ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปกครอง)เป็น(พ่อ/แม่/ผู้ปกครอง)ของ(ชื่อเรา)อนุญาติให้(he/she)ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นหากได้ทุน
แล้วก็เขียนขึ้นต้นลงท้ายตามแบบการเขียนจดหมาย เซ็นชื่อลงวันที่ แค่นี้ค่ะ
***
ที่ไฮไลท์ไว้สำคัญมากนะคะอยากให้อ่านละเอียดๆแล้วก็เช็คหลายๆรอบ
เพราะ
- - เอกสารบางตัว
บางโรงเรียนใช้เวลาออกค่อนข้างนานเตรียมไม่พร้อมอาจสมัครไม่ทัน
ตรวจสอบความถูกต้องตอนรับเอกสารด้วยนะคะ เช่นการสะกดชื่อ เพื่อนผู้เขียนบางคนเขียนถูกหมดเลยแต่บรรทัดสุดท้ายหายไปทั้งบรรทัด
โชคดีที่เห็นก่อนเลยมีเวลาแก้
- - อย่าลืมนะคะเอกสารทุกอย่างต้องเป็นอังกฤษ
ไม่ก็ญี่ปุ่น
- - รูปถ่ายดูขนาดให้ดี
เอารูปไปเผื่อมากกว่า3ก็ดีเผื่อปลิวหาย เขียนชื่อเราด้านหลังรูปด้วยเผื่อมันหลุด
- - อยากให้เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนให้แน่ใจก่อนวันสมัคร
เรียงเอกสารให้เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ประกาศอะไรก็ตั้งใจฟัง
ถ้ามีอะไรที่ต้องแก้จะได้ทำได้ตั้งแต่ตอนนั่งรอสมัคร
จะได้เสร็จเร็วๆเพราะมีคนรอสมัครอีกเยอะ เราก็จะได้รีบกลับ
- - มีเอกสารแบบสอบวัดระดับภาษามาก่อนก็เอาไปเผื่อเป็นหลักฐานด้วยนะคะ
แนะนำเพิ่มเติม
- - วันสมัครพยายามไปก่อนเวลาเปิดห้องสมัครเพราะจะมีคนไปรอเยอะอยู่
รีบเข้าไปหยิบบัตรคิวเป็นคนต้นๆจะได้เสร็จไวๆ
เพราะต่อให้ไปหลังเปิดห้องแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้บัตรคิวไกลเหลือเกิน รอนานมากๆค่ะ5555
- - แอบกระซิบสำหรับน้องบางคนที่โรงเรียนชอบออกเอกสารให้ช้าแบบ3-4วันถึงจะได้
พยายามไปตั้งแต่วันที่ 1-2 เลยนะคะเผื่อเอกสารผิดพลาดจะได้กลับไปขอใหม่แล้วทันวันศุกร์พอดี
- - บางคนชอบขอเอกสารไว้ล่วงหน้ามากๆ
ดูวันหมดอายุด้วยนะคะ
- - เขียนใบสมัตรเสร็จแล้วถ่ายเอกสารไว้ชุดนึงก็ดีนะคะ
เพราะตอนสัมภาษณ์เค้าก็ใช้ที่เราเขียนไปมาถาม
ไม่ถ่ายเก็บไว้เดี๋ยวจะลืมว่าเขียนอะไรไป5555
ขออะไรไว้ติดต่อได้ไหมครับ อยากถามหลายๆเรื่องเลยเช่นใบสมัครต้องปริ้นออกมาเองหรืออะไรยังไงครับ
ตอบลบ