วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

การเตรียมตัวสอบข้อเขียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

การเตรียมตัวสอบข้อเขียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

เนื้อหาที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นเนื้อหาของวิชา ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์(B) และ ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาสอบของ Natural science A แต่วิชาเคมี คณิตศาสตร์(B) และ ภาษาอังกฤษ สามารถใช้ดูเป็นแนวทางการเตรียมตัวสอบ Natural science B ได้เช่นกันค่ะ

1.       ลักษณะข้อสอบแต่ละวิชา
ในที่นี้จะบอกลักษณะและองค์ประกอบคร่าวๆของข้อสอบเก่าที่ค้นหามา
***ขอย้ำว่าไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบนี้เท่านั้นทุกปี อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ (ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างของปี 2010 ที่ลักษณะข้อสอบเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน)
1.1   เคมี
จะมีทั้ง (1) เลือกคำตอบแบบ 4-5 ตัวเลือก
          (2)  เลือกคำตอบแบบหลายตัวเลือก มีได้ทั้งข้อใหญ่และข้อย่อย (หลายตัวเลือก เช่น มีชื่อปฏิกิริยาทั้งหมดที่เราเรียน 11 ชื่อ แล้วให้เลือกไปตอบว่าแต่ละข้อย่อยตรงกับปฏิกิริยาอันไหน บางทีก็ใช้ซ้ำได้)
          (3) เติมคำ มีทั้งแบบคำนวณและเขียนชื่อสาร (เครื่องคิดเลขนำเข้าไปไม่ได้นะคะ)
         
1.2    คณิตศาสตร์
-          มี 3 ข้อใหญ่ ข้อใหญ่แรกจะแยกเป็นข้อย่อยประมาณ 5 ข้อ ข้อใหญ่อีก 2 ข้อจะเป็นโจทย์ใหญ่มาเลยแล้วถามย่อยราวๆ 2-3 คำถามต่อข้อ ปีเก่าๆจะเป็นแสดงวิธีทำแต่ปีล่าสุดเป็นเติมคำตอบค่ะ
1.3   ฟิสิกส์       
-          มี 5 ข้อใหญ่ มีข้อย่อยประมาณ 3- 5 ข้อย่อย เป็นตัวเลือกทั้งหมด
1.4   อังกฤษ
เป็นตัวเลือกทั้งหมด มี 6 ข้อใหญ่ แบ่งเป็น
- ข้อใหญ่ 2 ข้อแรก แต่ละข้อใหญ่มี 10 ข้อย่อย มีทั้งเรื่องvocab แล้วก็พวกสันธาน บุพบท phrasal verb แล้วก็ grammar นิดหน่อย
- ข้อใหญ่ถัดมาเป็นข้อสอบ error 4 ตัวเลือก 10 ข้อ
- ข้อใหญ่ถัดมาเป็น cloze test 4 ตัวเลือก 10 ข้อ
- ข้อใหญ่ 2 ข้อสุดท้ายเป็นอ่านเนื้อเรื่องแล้วตอบคำถาม ข้อใหญ่ละ 5 ข้อย่อย



2.       การเตรียมตัวสอบของแต่ละวิชา
เริ่มแรกขอเกริ่นเล็กน้อยนะคะ คือว่าหลักสูตรญี่ปุ่นที่นำมาออกข้อสอบกับหลักสูตรไทยอาจจะมีบางส่วนไม่ตรงกัน เช่น คณิตศาสตร์เรื่องแคลคูลัส ทางญี่ปุ่นจะมีบางหัวข้อเพิ่มมานิดหน่อยเรื่องการหาพื้นที่ และปริมตาร แล้วก็เนื้อหาบางส่วนหัวข้ออาจจะเหมือนกันแต่เหมือนทางญี่ปุ่นอาจจะเน้นไม่เหมือนเรา เช่น เคมี พวกเรื่องปฏิกิริยาเคมี พวกสีสารทำนองนี้ แต่ไม่ได้ต่างกันมาก ไม่ต้องกังวลค่ะ เนื้อหาส่วนนี้สามารถเรียนรู้ได้จากการทำโจทย์ข้อสอบเก่าค่ะ
ความจริงหลักสูตรทางญี่ปุ่นเปลี่ยนช่วงปี2015 ถ้าอยากรู้หลักสูตร หัวข้อของแต่ละวิชาแนะนำให้ไปถ่ายเอกสารด้านหลังหนังสือข้อสอบ EJU 2015ปลายปี
**หนังสือข้อสอบเก่า EJU ขอยืมถ่ายเอกสารได้ที่ สมาคมนักเรียนเก่าไทยญี่ปุ่น(สนญ) กับ JASSO (แถวอโศก สุขุมวิทย์ ตึกเสริมมิตร)ซึ่งทาง JASSO มีบริการให้คำปรึกษาเรื่องการศึกษาต่อญี่ปุ่นได้ฟรีค่ะ

2.1   เคมี
แนะนำให้ฝึกทำ
1.       ข้อสอบเก่า
-          โดยเฉพาะข้อใหญ่ที่เป็นเรื่องสารอินทรีย์ออกหลายปีมากๆ(ที่เป็นแผนภาพหลายๆอันเชื่อมกัน) เราอาจจะไม่ได้เรียนตรงๆเนื้อหาแบบเค้า แต่สามารถค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ตแล้วเขียนสรุปได้ค่ะ
-          จะมีเนื้อหาบางส่วนที่เราไม่คุ้น แนะนำให้ลองเปิดในอินเทอร์เน็ตหาดูค่ะ สามารถเข้าใจได้ไม่ยากจนเกินไป เราอาจไม่เข้าใจแนวความคิดทั้งหมดอย่างจริงจัง แต่อย่างน้อยก็อยากให้รู้คร่าวๆว่าโจทย์แบบนี้คืออะไร คำนวณยังไง (เพราะความจริงบางส่วนไทยเราไม่เน้นมาก พูดพอประมาณแล้วมาพูดอีกทีอย่างละเอียดตอนมหาลัย แต่ถ้ามานั่งอ่านของมหาลัยด้วยอาจจะรู้สึกว่ามันใช้เวลามากเกินไป ถ้าเทียบกับที่ต้องเตรียมตัวเรื่องอื่นๆ แต่ถ้ามีเวลาจะนั่งทำความเข้าใจอย่างจริงจังเลยก็ได้ค่ะ แต่เผื่อเวลาของส่วนอื่นๆด้วยนะ)
2.       ข้อสอบ EJU ปี2013 ถึง ปัจจุบัน (EJU จะมีสอบปีละ 2 ครั้ง ดังนั้นจะมีให้ทำอย่างน้อยประมาณ 8 ชุดได้ ) ข้อสอบ EJU จะช่วยพวกเนื้อหาข้อกาหน้าแรกๆที่เป็นพวกสีสารหลังเกิดปฏิกิริยา กับปฏิกิริยาควรรู้ แล้วก็เติมคำบางข้อเช่นพวกเรื่องไฟฟ้าเคมี
2.2   คณิตศาสตร์
-          เหมือนปีหลังๆจะค่อนข้างเน้นแคลอ่ะค่ะ มีการอินทรเกรทหาพื้นที่ใต้กราฟ กับอินทริเกรทหาปริมาตรที่เกิดจากการหมุนรูปรอบแกน(ที่จะมีแบบจานกับแบบทรงกระบอก+โจทย์แอบทำให้อลังการณ์ขึ้นอีกนิดโดยการบอกให้หาพื้นที่ส่วนที่ซ้อนทับกันของทรงกระบอก2อัน)เข้ามาด้วย
-          ใครงงแนะนำให้ลองศึกษาเองตามคลิปต่างๆ แนะนำ khan academy ค่ะ เป็นภาษาอังกฤษแต่เข้าใจง่าย สั้นๆ กดsubได้ ไม่ได้ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ค่ะ ลองดูนะคะ
-          เนื้อหาเรื่องอื่นกับข้อสอบเก่าก็ยังต้องฝึกทำนะคะ
-          ปีล่าสุดที่สอบไม่มีแสดงวิธีทำแล้วนะคะ เป็นเติมคำตอบหมดเลย ข้อใหญ่จะเป็นแบบมี 2-3 ข้อย่อยคะแนนค่อนข้างมาก ถูกก็ได้แต้มเยอะ ผิดก็หายหมดไม่มีแบ่งให้คะแนนเป็นตอนๆนะคะ (แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับมาใช้แสดงวิธีทำแบบเดิมอีกรึเปล่า)
2.3    ฟิสิกส์
แนะนำให้ฝึกทำ
1.       ข้อสอบเก่า
อย่างน้อยๆก็เรื่องงาน พลังงาน ไฟฟ้า(อ่านตัวเก็บประจุไปด้วยก็ดี พวกคำนวณน่ะ) สนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก กลศาสตร์ แสง เสียง(Doppler) แม่นๆหน่อยก็ดี

2.       ข้อสอบ College of Technology (บางข้อน่าสนใจก็เคยเอามาออกซ้ำ คงไม่พลาดบ่อยๆแต่ก็อ่านไปเป็นแนวโจทย์ที่ดีค่ะ)

              ***พวกข้อสอบเก่าบางทีมีแต่เฉลยไม่มีแสดงวิธีทำให้ แนะนำให้ลองพิมโจทย์ทั้งข้อลงgoogleไปเลย มันจะมีคนชาติอื่นเค้าถามไว้ก่อนอยู่แล้ว ก็ไปดูเอาว่าเค้าคิดยังไง อ่านหลายๆคอมเม้นให้แน่ใจนะ บางคนเค้าแอบตอบมั่วก็มี5555
             
2.4   ภาษาอังกฤษ
-          ก่อนอื่นขอยอมรับ ณ ตรงนี้ว่าส่วนตัวแล้วภาษาอังกฤษค่อนข้างมีปัญหา เลยอาจจะแนะนำไม่ได้มาก แต่ถ้าเอาวิธีส่วนตัวเลย คือตอนนั้นเอาศัพท์ SAT ที่เป็น flashcard มานั่งท่องอ่ะค่ะ ไม่ได้บอกว่าศัพท์ SAT มันออกเยอะนะคะ (ความจริงศัพท์อย่างอื่นก็นั่งท่องเหมือนกัน) แต่ที่มานั่งท่องเพราะส่วนตัวคิดว่าศัพท์ SAT มันแปลกสำหรับเรา การเจอศัพท์พวกนี้บ่อยๆนานๆน่าจะช่วยให้ความรู้สึกกลัวเวลาอ่าน passage แล้วแปลไม่ออกมันเบาบางลงบ้าง ซึ่งส่วนตัวก็ว่าโอเคระดับนึงนะคะ เจอคำมึนๆในห้องสอบก็ลนน้อยลง นอกจากนี้ก็มีทำพวกอ่านบทความ error กับ cloze test ด้วยค่ะ ทำเยอะๆบ่อยๆก็จะดี ที่เคยอ่านตอนเตรียมตัวสอบก็เห็นเค้าว่า TU-GET กับ CU-TEP ก็โอเค
-          ข้อสอบ error ของทุนญี่ปุ่นเป็นที่กล่าวขานวาน่ากลัวก็จริง บางคนก็บอกให้ทำส่วนอื่นให้หมดก่อนแล้วค่อยมาทำอันนี้ทีหลังเพราะมันยากแต่คะแนะก็เท่ากับข้ออื่น แต่โดยส่วนตัวแล้วแนะนำให้ตั้งสติแล้วลองอ่านดูนะคะ อย่างน้อยๆก็ให้ตัดตัวเลือกออกได้บางข้อ ข้อไหนมึนอย่าเพิ่งรีบมั่ว เว้นไว้ก่อนทำจบข้อใหญ่แล้วลองมาอ่านอีกทีกันสมองเบลอ ไม่อยากให้มั่วไปก่อนแล้วคิดว่าค่อยมาทวนทีหลังเพราะส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีเวลาทวน แต่ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าแต่ละคนถนัดทำแบบไหนด้วยแหละค่ะ555
-          ข้อบทความแอบอ่านคำถามก่อนก็ดีนะคะ บางทีจะพอจับได้คร่าวๆว่าบทความจะพูดเรื่องอะไร ถ้าเหลือบมองแล้วแอบเห็นว่าข้อไหนที่มันดูดีกว่าข้ออื่นๆแล้วน่าจะเป็นคำตอบแอบติ๊กไว้ก็ดีนะคะ เผื่ออ่านไม่ทันจริงๆก็เดาอันนั้นไป

***คนที่ไม่ชอบท่องศัพท์เสนอวิธีทำ flashcard ค่ะ เอามาพลิกดูบ่อยๆน่าจะช่วยได้บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ
***ตอนท่องศัพท์พยายามหาพวกที่เขียนต่างกันนิดหน่อย หรือพวกความหมายใกล้กันแต่ใช้คนละกรณี หรือพวกตัวไหนกริยาตัวไหนนาม ก็เอามาท่องด้วยนะคะ

สรุป
- เคมี    EJU + ข้อสอบเก่า
- ฟิสิกส์           col of tech + ข้อสอบเก่า (+EJU)
- เลข    ข้อสอบเก่า + แคล****ดิฟ อินทิเกรท (+EJU)
- อังกฤษ ข้อสอบเก่า+ฝึกๆๆ

ความจริงอยากให้ลองทำข้อสอบเก่าของทุกวิชา ซักสองรอบก็ดี(แต่เว้นช่วงหน่อยนะ)โดยเฉพาะข้อที่ซับซ้อนแล้วตอนแรกทำไม่ได้หรือผิดเพราะเลินเล่อ(ทำจนมั่นใจว่าทำได้นะ)  ส่วนที่วงเล็บไว้คืออ่านทัน มีเวลาก็เอาไว้ฝึกมือก็ดี พวก college กับ special training ถ้าว่างก็ลองทำดูนะคะ (**แต่ฟิสิกส์อยากให้ลองฝึก college จริงๆนะ โดยเฉพาะข้อยากๆ)

***ทั้งนี้น้องๆควรพิจารณาจัดสรรเวลาให้ดี เพราะทุนมงจะสอบในช่วงกรกฎาคมซึ่งเป็นช่วงที่น้องๆเปิดเรียนแล้ว อาจจะมีเวลาว่างแค่ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน ถ้าเป็นไปได้ควรลองทำข้อสอบจบ1รอบ+แน่นเนื้อหาตั้งแต่ปิดเทอม แล้วทวนเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอตอนเปิดเทอมรวมทั้งลองทำข้อสอบอีกรอบนึง โดยเฉพาะข้อยาก


ปล. ถ้าน้องอยู่ ม.4 ม.5 แนะนำให้ไปปรึกษาJASSO(ถ้าอยากไปญี่ปุ่นนะ)เค้ามีข้อมูลทุนเยอะมากๆ แล้วก็แนะนำดีมากๆ คอยตามข่าวสถานทูตด้วยก็ดีบางทีเค้ามีจัดงานแบบให้มหาลัยญี่ปุ่นมาแนะนำหลักสูตรเค้าเอง มีโอกาสลองไปก็ดีนะคะ แล้วก็คอยดูบอร์ด ฟังประชาสัมพันธ์ว่าทางโรงเรียนมีเชิญคนมาแนะแนวทุน หรือมหาลัยบ้างรึเปล่า ถ้ามีที่สนใจจะได้เตรียมตัวทันโดยเฉพาะเรื่องภาษาและเกรด

ปล.2 ถ้าน้องๆ ม.4 ม.5 ยังมีเวลาว่าง แล้วอยากเรียนต่อที่ญี่ปุ่นจริงๆ อยากให้ลองเรียนภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานดูซักคอร์ส แล้วอ่านเองหรือเรียนคอร์สต่อเรื่อยๆ สม่ำเสมอ มีโอกาสก็ลองสอบวัดระดับภาษาดู (JLPT) จะได้มีผลงาน แล้วก็จะได้มีโอกาสมากขึ้นเพราะบางทุนก็อยากได้นักเรียนที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาบ้าง ถ้าจัดเวลาดีๆมีวินัยหน่อยก็ไม่เสียเวลามากหรอกค่ะ สู้ๆนะคะ

การกรอกใบสมัครทุนรัฐบาลญี่ปุ่น

การเตรียมใบสมัครทุน
ประกาศการรับสมัครจะแจ้งที่เว็บของสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม และรับสมัครประมาณต้นเดือนมิถุนายน โดยทางสถานทูตจะมีเอกสารหลักๆอยู่ 3 อย่างดังนี้
1.       Announcement     อันนี้เป็นรายละเอียดทุนทั่วไป ได้แก่
-          คุณสมบัติผู้ที่จะสมัครทุน เช่น เกรด*** อายุ สัญชาติ
-          Fields of study – เค้าจะแยกให้ดูว่าอยากเรียนสาขานี้จะอยู่หมวดไหน ไว้ใช้ดูว่าต้องสอบวิชาอะไร แล้วถ้าจะเลือกสาขาอันดับต่อๆมาจะเลือกอันไหนได้บ้าง
-          ข้อมูลทุนทั่วไป เช่น จะได้รับทุนตั้งแต่เมื่อไหร่ รัฐให้ทุนส่วนไหนบ้าง
-          ช่วงเวลารับสมัคร
-          เอกสารที่ต้องเตรียมไปสมัคร
-          เวลา สถานที่ และวิชาที่ใช้สอบตามหมวดที่เราเลือกใน Fields of study
-          วันประกาศผลข้อเขียน วันสอบสัมภาษณ์และวันประกาศผล กำหนดการคร่าวๆของ final selection
-          การติดต่อสอบถาม
-          ฯลฯ
กำหนดการค่อนข้างคล้ายกันทุกปี(มีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย)อยากให้เอามาลองอ่านคร่าวๆก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ต้องเตรียมตัวก่อน เช่น การขอลดหย่อนเกรด
*** เกรดทั่วไปสำหรับคนที่ไม่มีพื้นภาษาญี่ปุ่น หรือไม่เคยสอบวัดระดับจะอยู่ที่ 3.80 แต่!!!! เอกสารข้างต้นจะระบุรายละเอียดเรื่องการลดหย่อนเกรดสำหรับคนที่เคยสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น หรือมีผลการสอบ EJU (แต่ต่อให้ลดหย่อนสูงสุดแล้วเกรดก็ยังต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 3.30)
2.       Application เป็นใบสมัคร หลักๆจะมีให้เขียนข้อมูลส่วนตัว แล้วก็สาขาที่จะไปเรียนพร้อมเหตุผล จะกล่าวอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป
***ส่วนนี้แต่ละปีจะค่อนข้างคล้ายกัน เอามาดูแนวๆการเขียน เช่น เหตุผลที่จะไปเรียนสาขานั้นๆ ก่อนก็ได้ แต่อย่าเพิ่งกรอกไปเลย แต่ละปีจะมีการปรับแก้เล็กน้อยรอฉบับของปีนั้นๆมากรอกดีกว่า
3.       Admission Form    เป็นใบเข้าห้องสอบ ครึ่งนึงเจ้าหน้าที่จะเก็บไว้ (อันนี้ไม่เขียนให้ดูนะคะมันนิดเดียวเข้าใจง่ายว่าควรเขียนอะไร)


การเขียนใบสมัคร (Application)
****ส่วนนี้อ้างอิงจากของปี 2017 แต่ละปีอาจมีการปรับแก้ ดูไว้แต่เพียงเป็นแนวทาง
ชื่อที่ใช้ในใบสมัครด้านล่างนี้ไม่ใช่ชื่อของผู้เขียนนะคะ เอามาจากอนิเมะเรื่อง yuri on ice 55555

เกริ่น
          - กรอกใบสมัครจะเขียน(ปากกาน้ำเงิน/ดำ)หรือพิมพ์ก็ได้ค่ะ แต่ส่วนตัวใช้เขียนปากกาเอา เผื่อต้องแก้จริงๆจะได้แค่ลบเล็กๆแล้วแก้ ไม่งั้นมันจะแบบ เอ้ย อันอื่นพิมพ์อันนี้เขียน5555
          - ใช้ภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่นะคะ (แต่ส่วนตัวช่วงที่เขียนบรรยายเยอะๆ แบบทำไมเรียนอันนี้ก็เขียนแบบปกติไป เจ้าหน้าที่ที่สถานทูตก็ไม่ว่าอะไรนะคะ หรือจะเขียนตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดก็ไม่น่ามีปัญหานะคะ)
         

*(1)
1. ต้องเลือก major ให้อยู่ในหมวดเดียวกัน (วิชาสอบเหมือนกัน)
- เช่น เลือกอันแรกเป็น Chemistry (U2 Natural Sciences A – สอบ eng phy chem math 2) แล้วอันสองเป็น Sociology (U1 Social Science sand Humanities A – สอบ eng math 1) อันนี้ไม่ได้
- เลือกอันแรกเป็น Chemistry (U2 Natural Sciences A – สอบ eng phy chem math 2) แล้วอันสองเป็น Medicine (U2 Natural Sciences C – สอบ eng bio chem math 2) อันนี้ก็ไม่ได้
- แต่!!! ถ้าเลือกสองอันแรกเป็น Natural Sciences C (มีแค่ medicine กับ dentistry) แล้ว อันที่สามจะใช้ของ Natural Sciences B ก็ได้
2. ทุนไม่ได้บังคับว่าต้องเลือกทั้ง 3 อันดับ เลือกแค่ 2 หรือ 1 อันดับก็ได้ ถ้าอันอื่นเราไม่สนใจ เช่นอยากเรียนหมอที่นู่น ถ้าได้หมอฟันก็ไม่เอาก็ไม่ต้องเขียนหมอฟันไป เขียนแค่หมออันเดียวก็ได้ค่ะ
3. ไม่จำเป็นต้องเลือกอันที่เนื้อหาคล้ายกันแบบในตัวอย่าง (ทุกอันมีส่วน chemistry แบบเห็นได้ชัด) แต่เวลาเขียนเหตุผลก็ต้องเขียนให้มันเชื่อมกันนิดนึง(มีให้เขียนเหตุผลที่เลือกในหน้าต่อๆไป) ซึ่งถ้า 3 อันมันคล้ายๆกันมันก็จะเขียนเหตุผลง่ายขึ้นไม่ย้อนแย้ง
- เช่น ส่วนตัวเลือก วิศวะคอม วิศวะไฟฟ้า วิศวะเคมี ไป มันดูไม่ค่อยเข้ากันเลยเนอะ5555 แต่ตอนเขียนเหตุผลเราก็เขียนไปว่าเออที่เลือกอ่ะ เพราะเราสนใจเรียนต่อด้านวิศวะชีวการแพทย์ตอน ป.โท ซึ่ง 3 สาขานี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ทำนองนี้

*(2)
อันนี้ไม่จำเป็นต้องสอบก็ได้ อาจจะดูดีหน่อยตอนสอบสัมภาษณ์ ถ้ารู้ญี่ปุ่นแค่นิดหน่อยก็อย่างเพิ่งสอบเลยค่ะ ถ้าผ่านสัมภาษณ์แล้วทางสถานทูตจะจัดให้สอบอีกทีสำหรับคนที่ยังไม่สอบ ไม่งั้นเราอาจจะต้องอ่านทั้งวิชาหลักแล้วก็ภาษาด้วย บางคนอาจจะจัดการเวลาไม่ทัน แต่ถ้าแม่นแล้วเคยสอบวัดระดับภาษามาแล้วก็สอบดูก็ดีค่ะ

*(3) อันนี้ขอโทษจริงๆค่ะ จำไม่ได้ว่าเขียนว่ายังไงแต่คร่าวๆประมาณว่า expected certificate of upper secondary education แต่ไม่แน่ใจเลยไม่เขียนไปในรูป แต่วันส่งใบสมัครจะมีวิธีการเขียนแปะอยู่รอบๆห้องสมัคร ลองไปเช็คดูเพื่อความแน่ใจอีกทีนะคะ


 *(4)
1. ให้เขียนเหตุผลว่าทำไมอยากเรียนต่อด้านนี้ ก็เขียนตามเหตุผลของเราเลย อาจเอาปัญหาในประเทศมาเขียนว่าเราอยากกลับมาพัฒนาส่วนนี้แล้วที่ญี่ปุ่นด้านนี้ก็เจริญก้าวหน้ามากเลยอยากไปศึกษา ทำนองนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบนี้ก็ได้ค่ะอันนี้เขียนเป็นแนวเฉยๆ แต่อย่าเขียนไปแบบสั้นๆห้วนๆนะคะ อธิบายหน่อย พอให้ได้ใจความแล้วก็ไม่ต้องยาวมากถึงขนาดต่อแผ่นใหม่ พอดีๆก็พอ
2. ส่วนตรงนี้ผู้เขียนตอนเขียนส่งไปใช้แบบอักษรปกติ(ไม่ได้เขียนตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด)อ่ะค่ะ เพราะรู้สึกอ่านง่ายกว่าแล้วเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เขียนตัวพิมพ์ใหญ่ไปทั้งหมดก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ





*(5)
          ก็พยายามหาจุดเชื่อมโยงของสามหัวข้อที่เลือกไว้ตอนแรก แล้วก็เขียนออกแนวภาพรวมว่าเราอยากเรียนอะไร เช่น การเกษตร หรือปัญญาประดิษฐ์
*(6)
          อันนี้ตามแต่ศรัทธาเลยค่ะ55555 แต่เขียนแนวชื่นชมด้านระเบียบวินัย เทคโนโลยี หรือว่าหาข้อมูลว่าสาขาที่เราไปเรียนญี่ปุ่นเค้าท็อปด้านไหน (เช่น ส่งออกและพัฒนา....มากสุด/ท็อป 5 ในอาเซียน/โลก ก็ว่าไป) ก็จะเป็นทางการกว่าเขียนว่าชอบการ์ตูน หรือเกมนะคะ
*(7)
          ก็เขียนว่ากลับมาไทยแล้วจะทำอะไร อาจจะเขียนแนวๆว่าอยากกลับมาพัฒนาด้านนี้ๆๆในไทย หรืออยากกลับมาเป็นอาจารย์สอน อยากทำวิจัย ก็ว่าไป พยายามเขียนทำนองว่าจะกลับมาพัฒนาประเทศไทยจากความรู้ที่เราเรียนรู้มา
*** อาจจะไม่จำเป็นต้องแนวนี้ก็ได้นะคะอันนี้เขียนให้จุดประกายเฉยๆเผื่อบางคนไม่รู้จะเริ่มยังไง


*(8)
อันนี้เป็นใบขออนุญาตจากผู้ปกครอง เขียนเองได้เลยค่ะ ทางสถานทูตไม่มีแบบฟอร์มให้ (แต่ปีหลังๆอาจจะแนบมาด้วยก็ได้ ลองเช็คดูนะคะ) ไม่ต้องเขียนยาวมากค่ะเนื้อหาแค่ทำนองว่า ข้าพเจ้า(ชื่อผู้ปกครอง)เป็น(พ่อ/แม่/ผู้ปกครอง)ของ(ชื่อเรา)อนุญาติให้(he/she)ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นหากได้ทุน แล้วก็เขียนขึ้นต้นลงท้ายตามแบบการเขียนจดหมาย เซ็นชื่อลงวันที่ แค่นี้ค่ะ

***
ที่ไฮไลท์ไว้สำคัญมากนะคะอยากให้อ่านละเอียดๆแล้วก็เช็คหลายๆรอบ เพราะ
-          -   เอกสารบางตัว บางโรงเรียนใช้เวลาออกค่อนข้างนานเตรียมไม่พร้อมอาจสมัครไม่ทัน ตรวจสอบความถูกต้องตอนรับเอกสารด้วยนะคะ เช่นการสะกดชื่อ เพื่อนผู้เขียนบางคนเขียนถูกหมดเลยแต่บรรทัดสุดท้ายหายไปทั้งบรรทัด โชคดีที่เห็นก่อนเลยมีเวลาแก้
-          -   อย่าลืมนะคะเอกสารทุกอย่างต้องเป็นอังกฤษ ไม่ก็ญี่ปุ่น
-          -   รูปถ่ายดูขนาดให้ดี เอารูปไปเผื่อมากกว่า3ก็ดีเผื่อปลิวหาย เขียนชื่อเราด้านหลังรูปด้วยเผื่อมันหลุด
-          -  อยากให้เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนให้แน่ใจก่อนวันสมัคร เรียงเอกสารให้เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ประกาศอะไรก็ตั้งใจฟัง ถ้ามีอะไรที่ต้องแก้จะได้ทำได้ตั้งแต่ตอนนั่งรอสมัคร จะได้เสร็จเร็วๆเพราะมีคนรอสมัครอีกเยอะ เราก็จะได้รีบกลับ
-          -  มีเอกสารแบบสอบวัดระดับภาษามาก่อนก็เอาไปเผื่อเป็นหลักฐานด้วยนะคะ

แนะนำเพิ่มเติม
-          -  วันสมัครพยายามไปก่อนเวลาเปิดห้องสมัครเพราะจะมีคนไปรอเยอะอยู่ รีบเข้าไปหยิบบัตรคิวเป็นคนต้นๆจะได้เสร็จไวๆ เพราะต่อให้ไปหลังเปิดห้องแค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้บัตรคิวไกลเหลือเกิน รอนานมากๆค่ะ5555
-          -  แอบกระซิบสำหรับน้องบางคนที่โรงเรียนชอบออกเอกสารให้ช้าแบบ3-4วันถึงจะได้ พยายามไปตั้งแต่วันที่ 1-2 เลยนะคะเผื่อเอกสารผิดพลาดจะได้กลับไปขอใหม่แล้วทันวันศุกร์พอดี
-          -  บางคนชอบขอเอกสารไว้ล่วงหน้ามากๆ ดูวันหมดอายุด้วยนะคะ

-          -  เขียนใบสมัตรเสร็จแล้วถ่ายเอกสารไว้ชุดนึงก็ดีนะคะ เพราะตอนสัมภาษณ์เค้าก็ใช้ที่เราเขียนไปมาถาม ไม่ถ่ายเก็บไว้เดี๋ยวจะลืมว่าเขียนอะไรไป5555